ครูนงเยาวน์ กับอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
-
Theethawat Savastham
- 05 Dec, 2021

ณ ชั้นสามของอาคารหนึ่ง คาดว่าเป็นอาคาร 5
เนม เนม เนม เข้ามา ห้องนี้
เสียงของผมดังขึ้น
ธีร์ธวัช ธีร์ธวัช เธอเรียกใคร ครูอยู่ในห้อง เธอต้องเกรงใจครูด้วย
ผมหน้าหงอย ด้วยความสำนึกผิด และคิดว่าเออ เราทำอะไรลงไป พร้อมกลับกล่าวคำขอโทษ นี่น่าจะเป็นความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของผม ต่อคุณครูนงเยาว์ มาศมาลัย คุณครูภาษาไทย ที่สอนผมในชั้น ม.4
ความท้าทายของคุณครูในการสอนห้องวิทย์คณิต
ในการสอนนักเรียนที่เป็นห้องวิทย์คณิต มันก็แน่นอนว่าเด็กอาจจะไม่ได้สนใจเนื้อหาวิชามากนัก และมันก็คงอาจจะเป็น Challenge บางอย่างให้กับคุณครู คุณครูบางท่านอาจจะใช้วิธีบังคับให้สนใจ หรือ อะไร แต่สำหรับครูนงเยาว์ ไม่ คุณครูยอมรับ Challenge นั้น คุณพยายามสอน พยายามมีเทคนิค เชื่อมโยง พยายามให้นักเรียนมาสนใจ และมีเรื่องราวหรือประสบการณ์ต่าง ๆ มาบอกแก่นักเรียนเสมอ ๆ ต่อให้ใคร ๆ ไม่ได้สังเกตุ แต่อยากให้คุณครูรู้ไว้นะครับ ว่าผมคนนี้รับรู้อยู่
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต
ผม กับ คุณครู เรามีโอกาสได้เข้าร่วมค่ายเขียนบทกวีภาษาไทยด้วยกัน ในภาคเรียนที่ 1 ของปี 2556 ค่ายนี้ถือเป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ที่ผมเองก็คงไม่ลืม เพราะค่ายนี้สอนให้รู้ว่า ความที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว บางทีมันเป็นแค่การภูมิใจในตัวเองมากเกินไป หรือ อาจจะเป็นอีโก้ของเรา ผมเองที่หยิ่งในตัวเองเหลือเกิน กลับมาเป็นคนที่อ่อนโยนลง และเข้าใจโลกมากขึ้น
ประสบการณ์ที่ค่ายภาษาไทย เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของผมในชีวิต ตอนนั้นผมอีโก้ไปเองเยอะมาก ว่าผมน่าจะเป็นคนที่เขียนดีที่สุดแล้วในเรื่องกวีต่าง ๆ ในบรรดาเพื่อน ๆ ห้อง 1 ของผม และผมเองก็คิดไปว่าเออผมเข้ากับเพื่อนได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ผมเป็นคนแรกของห้องที่สมัครเข้าค่ายนี้ เราเดินทางกันไปที่คีรีวง
ผมน่าจะเป็นผู้ชายคนเดียวมั้งของห้องผม ที่เหลือน่าจะเป็นผู้หญิงหมด ผมเองทำนิสัยที่ไม่ดีและตรงข้ามกับสิ่งที่เราเป็นตลอด ตอนนั้นอ่ะครับครูผมมองว่าเพื่อนๆ เรามันหยิ่ง (ถ้าเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันวันนั้นมาอ่าน อยากจะบอกว่า เราขอโทษ) แต่สิ่งที่ผมทำคือ ผมเองนี่แหละที่หยิ่ง ผมแทบไม่ค่อยได้คุย หรือ แทบไม่คุยกันเพื่อนห้องเดียวกับผมเลยตลอดเวลา 3 วันในค่าย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเราเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนานะ ผมก็พยายามทำงานต่าง ๆ ออกมาตามที่วิทยากรพูด พยายามคุยกับเพื่อนอื่น ๆ และก็ที่แย่ไปกว่านั้นคือบางอันผมใช้อารมณ์ (ด้านลบ) ไปกับงานเขียนเยอะมากเลยครับ และบางอย่างที่ผมเขียนลงไป ผมยังรู้สึกผิดมาถึงวันนี้ บางอย่างเหมือนผมเขียนเอามัน แล้วก็รู้สึกว่า ผมไม่ควรทำลงไปเลย
ในกิจกรรมทั้ง 3 วันของงาน ไม่เคยมีงานไหนของผมเลย ที่ได้รับการเรียกขึ้นไปพูด ซึ่งแทบทุกคนจะมีงานเขียนของตัวเองบ้าง สักคนละงานที่ได้ไปพูดไม่ว่าจะเออเขียนเรื่องสั้น เขียนบรรยายแบบว่าอยากเกิดเป็นอะไร หรือเขียนแบบร้อยกลอง ซึ่งเพื่อนๆ ผมเอง มักจะได้รับการเลือกออกไปพูด / ไปอ่านมากมาย โดยเฉพาะเพื่อนๆ ในห้องผมด้วย แต่ผมไม่เลย
เรายังตัวเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับโลกทั้งใบ
ในวันสุดท้าย ผมเดินขึ้นรถด้วยสภาพหงอย ๆ ครับครู แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า แม้ว่าเราจะมั่นใจหรืออะไร อาจจะเพราะว่าผมเคยเขียนบล็อกบ่อย หรือเคยเขียนอะไรยาว ๆ บ่อย แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เลิศเลออะไรเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในโลก และก็เช่นกัน คนอื่นก็ไม่ได้ไม่มีความสามารถนะ
หลังจากวันนั้นนับถึงวันนี้ ผมเองเปลี่ยนไปมาก ผมก็ยังมีอีโก้ในตัวเองบ้างแหละครับ แต่ผมว่าลดลงเยอะเลย วันนั้นเมื่อถึงโรงเรียน จาก 3 วันที่ผมแทบไม่คุยกับเพื่อนเลย ผมยกมือคืนบ้ายบายเพื่อนๆ ในห้องตัวเองคนนึง ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความหยิ่งในตัวเอง และมองคนอื่นในแบบที่มีม่านบังตาอยู่ หลังจากนั้นผมเองก็เข้าหาเพื่อน ๆ ในห้องตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ สนิทกันบ้าง ไม่สนิทบ้าง แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังคงติดตามกันอยู่แม้จะผ่านเวลามานานแล้วครับ
ช่วงเวลานั้นเปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะเลยครับ แม้ต้อนนี้ ผมเองก็ไม่ได้ภาษาไทยดีสักเท่าไหร่หรอกครับ ยังเขียนวกไปวนมาแบบนี้อยู่ แต่บางสิ่งบางอย่างที่ได้มากมันไม่ใช่แค่วิชาความรู้ แต่มันคือวิชาชีวิต
คุณครูยังคงจำลูกศิษย์คนนี้ได้
ไม่ว่าผมจะโตขึ้นอยู่ ม.5 หรือ ม.6 คุณครูก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ที่เดิม ที่ห้องสมุดภาษาไทย อาคาร 1 ชั้น 2 ทุก ๆ ครั้งที่ผมเดินเข้าไป อาจจะไปหาคุณครูคนอื่น สิ่งที่ผมเองจะทำทุกครั้งก็คือ ไปสวัสดีคุณครู แล้วคุณครูก็จะบอกว่า “มาหาใคร” อาจารย์คนนี้นั่งโต๊ะนี้ อาจารย์คนนี้ไม่อยู่
คุณครูยังคงจำลูกศิษย์คนนี้ได้ ไม่สิครูจำลูกศิษย์ทุกคนได้ คุณครูจะคอยถามตลอดว่า เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เรียนเป็นยังไง สอบได้ที่ไหน คุณครูเองก็มีความผูกพันกับห้องเรียนของผม มีงานอะไรครูก็จะมาตลอด
ผมเองจำไม่ได้แล้วว่าผมเจอคุณครูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คุ้นๆ ว่าเจอกันที่หน้าห้องสมุดนั่นแหละ ช่วง ม.6 ปลาย ๆ หรือ อาจจะเจอกันตอนงานพรอม ม.6
ผมเองก็เป็นเด็กที่จบมาแล้ว 4 ปี ยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนที่ผมจากมาเลย ทำให้ครั้งนั้นคงเป็นครั้งสุดท้าย ที่เราได้เจอกัน เพราะตอนนี้คุณครูได้จากผมและพวกเราไปแล้ว
สิ่งใดที่ผมเองเคยล่วงเกินคุณครูนงเยาว์เอาไว้ ผมเองยังคงนึกอยู่ในใจ และจะพยายามไม่ทำแบบนั้นกับคนอื่นอีก ผมเองคงจะต้องขอโทษอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ผมเองจะรู้ดีกว่าคุณครูไม่เคยโกรธอะไรผมอยู่แล้ว
ผมดีใจมาก ๆ ที่ได้เรียน ได้เป็นลูกศิษย์
ผมดีใจมาก ๆ ที่ได้เรียน ได้เป็นลูกศิษย์คุณครูทั้งวิชาภาษาไทย และ วิชาชีวิตนะครับ ผมหวังว่าคุณครูจะภูมิใจกับผมเช่นกันนะครับ
ขอส่วนบุญส่วนกุศลที่ผมเคยได้ทำมา ได้เป็นส่วนหนุนแม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อุทิศ ไปรวมกับคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิทั่วสากลโลก ที่จะพาคุณครูไปยังสรวงสวรรค์นะครับ หลับให้สบายนะครับคุณครู
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ธีร์ธวัช สวาสดิ์ธรรม นักเรียนที่เรียนชั้น ม. 4/1 ปีการศึกษา 2556